วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ฝึกภาษาอังกฤษยังไงให้เข้าหัว


จะพูดอังกฤษได้ดี ต้องคิดเป็นภาษาอังกฤษค่ะ แต่จะทำยังไงให้คิดได้เป็นภาษาอังกฤษ มีเทคนิคค่ะลองทำดูได้ผลอย่างไรส่งข่าวด้วย
เทคนิคเหล่านี้ เป็นเทคนิคที่ดิฉันใช้กับตัวเอง เค้าบอกมาบ้างคิดเองบ้าง เห็นว่าได้ผลดีเลยเอามาแบ่งปันค่ะ


1 เริ่มจากเปลี่ยน settingภาษาในโทรศัพท์ให้เป็นภาษาอังกฤษ ทุกครั้งที่ใช้ก็จะเห็นคำศัพท์ ค่อยๆจดจำจนชินไปเอง จากนั้นก็เปลี่ยน ในเฟสบุ๊ค IG และอื่นๆให้ทุกอันอยู่ในโมทภาษาอังกฤษ แค่นี้คุณก็จะได้เรียนรู้ศัพท์ง่ายๆ และชินกับคำเหล่านี้


2 หา โพทส์อิท มาเขียนคำศัพท์ต่างๆ แปะตามเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน เช่น ที่โต๊ะแปะ table ที่เก้าอี้แปะ chair ทุกครั้งที่เห็นคุณจะอ่านโดยอัตโนมัติ ดังนั้นเมื่อคุณเห็นโต๊ะ แทนที่สมองคุณจะบอกว่าโต๊ะคุณกำลังฝึกให้สมองบอกว่า table แทน คำไหนไม่รู้ ก็เปิดหาเอา


3 ใช้ดิกชันเนอร์รีที่เป็นหนังสือ ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้ ดิก อังกฤษ-อังกฤษ ที่ชวนให้ใช้ ดิกแบบเก่าเพราะมันจะฝึกให้คุณแม่นเรื่องการเรียงตัวหนังสือ และที่สำคัญที่สุดคุณจะได้เห็นคำศัพท์อื่นๆ คำก่อนหน้า คำที่ตาทหลังคำที่คุณหาไปด้วย การใช้ดิก อังกฤษ-อังกฤษ จะทำให้คุณคิดเป็นภาษาอังกฤาได้ไวขึ้น ลองดูค่ะมันไม่ได้ยากอย่างที่คิดหรอกค่ะ


4 ดูข่าวภาษาอังกฤษ เริ่มจากพยากรณ์อากาศก่อนก็ได้ เพราะเป็นส่วนที่ง่ายที่สุด ให้ดูทุกวันถ้าดูซ้ำได้จะยิ่งดีค่ะ จากนั้นก็ลองไปดูข่าวอื่นๆในด้านที่เราสนใจถ้าไม่รู้เรื่องก็ดูซ้ำ ที่ให้ดูข่าวเพราะข่าวจะเป็นเรื่องสั้นๆ ถ้าดูข่าวไปซักพักจะสังเกตุว่าเขาใช้ศัพท์ซ้ำๆ ถ้าเจอข่าวที่เราสนใจให้ดูซ้ำๆค่ะ ดูซักสิบรอบสมองจะเรื่มพลิก จะค่อยๆเริ่มคิดเป็นภาษาอังกฤษ อันนี้ประสพการณ์ตรงเลยค่ะ ตอน 911 ดูข่าวเปิดสลับกันระหว่าง BBC กับCNN ดูกลับไปกลับมาซ้ำอยู่หลายรอบมาก จำได้ว่า ตอนลุกจากเก้าอี้ คิดกับตัวเองว่า MY God, how did that happen? คือสมองพลิกละ


5 อ่านให้มาก ถ้าปรกติ ไม่ชอบอ่าน ก็ลองถามตัวเองว่า สนใจเรื่องอะไร อยากได้ข้อมูลเรื่องอะไร เช่นชอบตกปลา ก็อาจจะอยากได้ข้อมูลเรื่องการตกปลา ชอบแต่งหน้า ชอบเรื่องผีฯลฯ หาให้เจอว่าเราชอบเรื่องอะไร แล้วไปร้านหนังสือ หรือห้องสมุด หาหนังสือที่น่าสนใจซักเล่มแล้วนั่งลงหาที่เงียบๆ แล้วเริ่มอ่านเลยค่ะ อีกอย่างหาสมุดสักเล่มจดศัพท์ที่เราไม่รู้ พร้อมคำแปลเป็นภาษาอังกฤษที่เราเปิดได้จาก ดิกชันเนอร์รี ว่างเมื่อไหร่ให้เอาสมุดนี้มาเปิดๆดูบ้าง


6 ดูหนัง จะมี ซับไตเติ้ลก็ได้แต่มีข้อแม้ว่า ซับต้องไม่มั่ว


7ฟังเพลง อันนี้ช่วยเรื่องการใช้สำนวน ใช้คำที่สละสลวย สามารถจำมาใช้เป็นประโยคๆเลย ไม่ต้องนั่งท่อง ไวยากร


8เปิดวิทยุฟังตอนหลับ วิธีนี้อาจจะฮาร์ตคอร์ไปนิด แต่มันช่วยได้จริงๆค่ะ นักวิทยาศาสตร์ว่าเวลาหลับเรายังสามารถเรียนรู้ได้ ถ้าสามารถหาCD การสนทนามาฟังได้จะดีมาก หรือไม่ก็ฟังเพลงภาษาอังกฤษเบาๆ เทคนิคนี้ ดิฉันใช้ตอนเรียนภาษาฝรั่งเศส เนื่องจากมันไม่เข้าหัวซักที ประมาณอาทิตย์นึงผ่านไป เกิดฝันเป็นภาษาฝรั่งเศสค่ะ แสดงว่า สำเร็จเคล็ดวิชาไปอีกขั้น


9ฝึกตนให้ช่างสังเกตุ ให้สังเกตุเสมอว่าข่าวที่เราดู หรือ DJ ที่พูดก่อนเปิดเพลงให้เราฟังเขาพูดยังไง เขาเน้นพยางไหนออกเสียงยังไง แล้วเลียนตามเขา ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ออกเสียงแบบเบาๆ ไม่หนักหน่วง แบบฝรั่งเศส และไม่เน้นคำแบบภาษาไทย อีกอย่างจะมีเสียงตามหลัง เช่น Mouse ,Mount, Mouth สามคำนี้ ถ้าเป็นคำไทยจะออกว่า เม๊า ทั้งสามคำ แต่สังเกตุตัวอักษรตัวสองตัวท้ายคำที่มีผลต่อการออกเสียงด้วยจึงออกเสียงว่า เม๊าซ์ เม๊าท์ และ เม๊าธ์ (คำสุดท้ายให้แลบลิ้นออกมาระหว่าฟันบนฟันล่างนิดนึงแล้วเป่าลมเบาๆ)ต้องสังเกตุค่ะ แลัวพูดตาม


10 มีโอกาสใช้ต้องรีบใช้ เจอฝรั่งทำท่าหลงทางเข้าไปทักเลย เลิกอายเลิกเขินได้แล้ว โดยเฉพาะกับคนไทยด้วยกัน เราไม่ได้ขอข้าวเค้ากิน เค้าจะชอบ หรือไม่ชอบก็ไม่มีผลอะไรเลย ถ้าไม่ได้ใช้มันก็ไม่เก่งซักที หลายปีก่อน ดิฉันได้พบกันนักเรียนไทยในอังกฤษกลุ่มหนึ่ง เค้าอยู่กันมาหลายปี ส่วนตัวดิฉันพึ่งย้ายไปอยู่ไปทำงานจึงไม่มีเพื่อนเป็นคนไทยเลย ตอนแรกคุยกับกลุ่มนี้สังเกตุว่าเค้าพูดภาษาไทยแปล่งๆ แบบคนอยู่เมืองนอกนาน เลยคิดว่าภาษาอังกฤาเค้าต้องล้ำเลิศ แต่บังเอิญได้ยินเค้าพูดภาษาอังกฤษแล้วแทบจะหงายหลังเพราะออกเสียงผิดๆถูกๆ แถมคำควบกล้ำออกเสียงไม่ได้ พอถามๆดูจึงรู้ว่าพวกเขาวันๆก็ขลุกอยู่กับเพื่อนคนไทย ภาษาแม้ฟังออกได้ดี แต่กลับพูดไม่ค่อยได้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้จะมีโอกาสมากมาย อยู่ในวงล้อมของเจ้าของภาษาแท้ๆแต่ไม่รู้จักไขว่คว้า โอกาสนั้นก็ไม่วิ่งมาชนเราหรอกนะคะ อยากได้ต้องลงมือทำค่ะ


สนใจฝึกภาษาแวะมาที่เพจภาษาอังกฤษวันละนิดวันละหน่อย ได้เลยค่ะ

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทิปดีดีในการเสริมทักษะภาษาที่สองให้เด็กๆ





การเสริมสร้างภาษาที่สองให้แข็งแรงนั้น ย่อมทำได้ยากกว่าภาษาที่หนึ่ง เพราะเราไม่ได้อยู่ในวงล้อมของภาษานั้น แต่ก็ไม่ได้ยากจนทำไม่ได้นะคะ ขอแค่รู้เคล็ดไม่ลับ เรื่องการจัดระบบเล็กๆน้อยๆ และการแบ่งเวลาอย่างมีประสิทธิภาพก็จะทำให้อะไรๆง่ายขึ้นค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงจะมีตัวช่วยมากแค่ไหน ความมุ่งมั่นของคุณพ่อคุณแม่ ย่อมต้องมาเป็นที่หนึ่งเสมอ
ลองมาดูเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็กๆ กันค่ะ ว่ามีอะไรบ้าง

เปลี่ยนการร้องเพลงกล่อมเด็กภาษาไทยเป็นเพลงกล่อมเด็กภาษาอังกฤษแทนอันนี้เริ่มตั้งแต่ยังแบเบาะ หรือตั้งแต่ในท้องเลยนะคะ

กำหนดเวลาสำหรับการทำกิจกรรมเป็นภาษาอังกฤษในแต่ละวัน อาจเป็นการเล่นเกมส์เบาๆก่อนนอน เช่น เกมส์ I spy หรือ bingo ไม่ว่าคุณจะจัดช่วงเวลาใดก็ขอให้สม่ำเสมอให้เด็กๆเกิดความเคยชิน

อย่าปล่อยเวลาระหว่างกิจกรรมให้สูญเปล่า เช่นระหว่างทางไปโรงเรียน ช่วงรถติด นั่งคอยหมอฟัน ฯลฯ ช่วงเวลาเหล่านี้เป็นเวลาที่เราเสียไปเปล่าๆน่าจะใช้โอกาสนี้พูดคุยสนทนา ชี้ชวนกันชมสิ่งต่างๆ หรือแม้แต่ฟังข่าว หรือเพลงภาษาอังกฤษ ไม่แน่ว่าช่วงเวลาเล็กๆนี้ถ้าคุณเปิดโอกาส คุณอาจได้รับความรู้ดีดี ที่จะทำให้วันพรุ่งนี้ง่ายขึ้นก็ได้

อ่านหนังสือกับลูก กับการเล่านิทาน สองสิ่งนี้ต่างกันเล็กน้อย หนังสือช่วยให้เด็กๆเห็นภาพง่ายขึ้นในกรณีนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องแปลเป็นไทย หลายครั้งเด็กๆอาจจะไม่ถามเลยด้วยซ้ำ คือเข้าใจจากภาพไปเลย ส่วนการเล่าปากเปล่า ควรเลือกใช้ภาษาที่เหมาะกับระดับความเข้าใจของเด็กแต่ละคน เด็กชอบฟังนิทาน ถ้าเป็นเรื่องที่ชอบก็จะฟังแล้วฟังอีก ถ้าเป็นเรื่องที่ฟังหลายครั้งแล้ว คุณพ่อคุณแม่ลองหาคำพ้องความหมายมาแทนคำเดิมบ้างเพื่อเพิ่มฐานศัพท์ให้อีกทางค่ะ แล้วอย่าลืมทำเสียงให้เข้ากับ บรรยากาศ ในเนื้อเรื่องด้วยนะคะ

* เมื่อไรที่เด็กๆได้รับอนุญาตให้ดูทีวี (ส่วนมากคุณหมอจะแนะนำให้เริ่มดูทีวีได้หลังอายุ 2 ขวบ โดยดูครั้งละไม่เกิน 10 นาที และดูรายการที่มีภาพเคลื่อนไหวช้าๆ) ควรเปิดโปรแกรมที่เป็นภาษาอังกฤษ ที่เป็นโปรแกรมสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพราะรายการเด็กที่ดีจะถูกออกแบบโดยนักการศึกษาเพื่อการพัฒนาการของเด็กในแต่ละวัย ดูเข้าใจง่าย สีสันสดใส ที่สำคัญไม่มีความรุนแรง ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็นึกถึง BBC.co.uk/cbbc (สำหรับเด็กวัยเรียน) หรือ  bbc.co.uk/cbeebies (สำหรับเด็กก่อนวัยเรียน) ไว้ก่อนก็ได้ค่ะ ที่พูดถึงรายการเด็กนี่ไม่ได้หมายถึงการ์ตูนฝรั่งนะคะ เพราะการ์ตูนฝรั่งหลายเรื่องไม่ได้ออกแบบเพื่อการเรียนรู้ของเด็ก เคยแนะนำคุณแม่ท่านหนึ่งไปตามที่เขียนข้างต้น แต่กลับไม่ได้ผล ถามไปถามมาก็ได้ความว่า คุณแม่เปิดทีวีให้น้องดูแต่การ์ตูนฝรั่ง โดยเฉพาะ ทอม แอนด์ เจอรี่ น้องชอบมาก แต่ถ้าพิจารณาดูแล้ว ใน ทอม แอนด์เจอรี่ แทบจะไม่มีการสนทนากันเลย มีแต่การกลั่นแกล้ง จ้องจะฆ่ากัน ยิ่งระดับความรุนแรงแล้ว ถ้าเปลี่ยนจากการ์ตูนเป็นคนจริงๆนี่ เป็นหนังเขย่าขวัญได้เลยนะคะ ดังนั้นก่อนจะให้ลูกดูอะไร คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาก่อนนะคะ หรือนั่งดูไปด้วยกันเลยค่ะ

 เมื่อมีโอกาสเปิดเพลง ร้องเพลง แล้วชวนเด็กๆออกมาเต้นด้วยกัน ถ้าเปิดจากวิทยุเลือกคลื่นที่ ดีเจพูดภาษาอังกฤษ แล้วคุณจะแปลกใจว่าเด็กๆสามารถจำเนื้อร้องได้ และสามารถร้องเพลงตามได้เป็นช่วงๆ ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการฝึกฟัง ทำให้ฟังแล้วสามารถจับศัพท์ได้ แล้วจะนำไปสู่การค้นหาความหมายของคำต่างๆต่อไป

หาโอกาสเปิดหูเปิดตา เปลี่ยนบรรยากาศ หาสิ่งที่กระตุ้นการเรียนรู้ เช่นไปเที่ยวสวนสาธารณะ ขี่จักรยาน เข้าพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น และเมื่อกลับมาบ้านลองชวนเค้าคุยว่าที่ไปมาเป็นอย่างไรบ้างเค้าได้เห็นอะไร ถ้าคำไหนเขาไม่รู้ คุณพ่อคุณแม่ก็ช่วยเสริม แต่ถ้าคุณเองก็ยังไม่รู้ ก็ลองให้เด็กๆช่วยกันหาคำตอบ ถ้าเขาค้นเจอด้วยตัวเองเขาจะภูมิใจและจดจำได้ดีค่ะ เด็กเล็กๆก็คุยได้นะคะ ยิ่งช่วงหัดพูดนี่สำคัญ เค้ารู้อะไรเยอะกว่าที่เขาบอกเรามากนะคะ เด็กในวัยหัดพูดเมื่อเห็นอะไรเขาจะชี้แล้วเรียกชื่อสิ่งนั้น ช่วงนี้เขาจะต้องการคำศัพท์อย่างมาก เราบอกไปเขาก็จะจำแล้วพูดตาม ดังนั้นการเปลี่ยนบรรยากาศให้เขาได้เห็นอะไรมากๆ ระหว่างนั้นก็ป้อนศัพท์คำใหม่ๆสำคัญมากในช่วงนี้ คุยกับเขาเยอะๆกระตุ้นเข้าไปค่ะ ฉลาดชัวร์

* ในเด็กวัยเรียนควรหาโอกาสให้เขาได้พูดคุยกับเจ้าของภาษา หลายโรงเรียนตอนนี้ก็มีการจ้างครูฝรั่งมาสอนซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดี แต่ถ้าที่โรงเรียนของเราไม่มีก็ลองหาตัวเลือกอื่นๆ เช่น เรียนพิเศษสัปดาห์ละครั้ง ค่ายภาษาอังกฤษ หรือ ถ้าเป็นไปได้การไปเที่ยว หรือไปเรียนช่วงฤดูร้อนสั้นๆในประเทศเจ้าของภาษา

*ข้อสุดท้ายคือ ห้ามหยุด ห้ามขาดช่วง เพราะความพยายามที่ทำมาแล้วจะสูญเปล่า พอลูกโตมาสู้ลูกคนอื่นไม่ได้จะมานั่งเสียดายก็สายไปนะคะ ต้องนึกถึงช่วงเวลาแห่งชัยชนะที่จะต้องมาถึงอย่างแน่นอน เพราะเรามาถูกทางแล้ว สู้ๆค่ะ


ที่กล่าวมาข้างต้นส่วนใหญ่ทำได้ในชีวิตประจำวัน  จุดมุ่งหมายคือให้เด็กๆสามารถใช้ภาษาง่ายๆได้ แนะนำตัวได้ ไม่เคอะเขินเมื่อเจอชาวต่างชาติ เป็นกำลังใจให้ค่ะ สำหรับประโยคต่างๆที่ใช้ในชีวิตประจำวันกับเด็กๆ ขอให้ติดตามต่อใน เฟสบุ๊คเพจ ภาษาอังกฤษวันละนิดวันละหน่อยค่ะ

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อยากให้ลูกเป็นเด็กสองภาษา เริ่มที่ไหนยังไงดี?

                                


ลองนึกย้อนไปตอนเด็กๆ เพื่อนแต่ละคนจะมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกัน เช่น คนที่เป็นลูกทหารจะเป็นคนมีระเบียบ ลูกแม่ค้าจะเก่งคำนวณ ลูกนักกีฬาจะเก่งพละเป็นต้น สิ่งนี้เป็นการเรียนรู้โดยอัตโนมัติ คือการเห็นทุกวันทำทุกวัน ในด้านภาษา เคยสังเกตไหมคะว่า ครอบครัวนักดนตรีลูกหลานโตขึ้นมาก็เป็นนักดนตรี เพราะดนตรีก็เป็นภาษาหนึ่งเช่นกัน มี 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน เหมือนเราเรียนภาษาอังกฤษนี่แหละค่ะ เมื่อเด็กๆได้
เห็น ฟัง และปฏิบัติทุกๆวัน ก็จะเกิดทักษะไปเองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องอารัมภบท เริ่มเลยดีกว่า

ทุกคนรู้ถึงความได้เปรียบของการที่เด็กมีความสามารถทางภาษา มากกว่า1 ภาษา ดังนั้นไม่ต้องคิดมากเริ่มเลย ไม่ว่าลูกคุณจะยังอยู่ในท้อง,คลอดออกมาแล้ว,5 ชวบ,10ขวบ หรือแม้แต่คุณยังไม่มีแฟนด้วยซ้ำก็เริ่มได้เลยค่ะ

1  เริ่มที่ตัวคุณ
เมื่อตัดสินใจว่าจะเริ่มก็ควรรู้ว่าจะเริ่มที่ไหนก่อนนะคะ เคยสังเกตไหมคะว่าทำไมเด็กบางคนพูดชัด บางคนพูดห้วน บางคนพูดคำควบกล้ำไม่ได้ หรือบางคนพูดจาหยาบคายจนเป็นนิสัย อันนี้ก็มาจากพ่อแม่ และคนเลี้ยงใกล้ชิดของเด็ก ถ้าพ่อแม่พูดอย่างไรลูกๆก็จะชินอย่างนั้น จึงควรเริ่มสำรวจตัวเองก่อน ทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษ

ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
เพราะต่อไปนี้เราจะเป็นครู ครูต้องมีความรู้ และ ทัศนะคติที่ดีและถูกต้อง   ไม่ต้องคอยให้เก่งก่อนจึงจะสอนลูกได้นะ คะ เรียนไปพร้อมกันกับลูกเลยก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เริ่มพร้อมกับลูกนะคะ เริ่มไปก่อนเลยค่ะ แล้วก็มาเรียนกับลูกด้วย นอกจากเรื่องของภาษาแล้ว อยากให้คุณพ่อคุณแม่ อัพเดท ความรู้รอบตัวเอาไว้เล่าและคุยกับเด็กๆ ด้วย ความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนี้จะกระตุ้นให้เด็กเป็นคนสนใจใคร่รู้ ช่างพูดช่างเจรจา  

3  ห้ามปรี๊ดแตก 
อันนี้สำคัญนะคะ จากประสบการณ์ตรงเลยค่ะ ถ้าเค้าทำไม่ได้อย่าไปโกรธไปว่าเขา หรือทำให้เขาน้อยเนื้อต่ำใจเด็ดขาด เพราะจะทำให้เขาเข็ดขยาดการพูดภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาที่สองที่คุณเลือก เนื่องจากสมองได้เอาความทรงจำสองเรื่องไปผูกเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ แบบเดียวกับที่เรานึกถึงเรื่องราวเก่าๆเวลาที่ได้ยินเพลงบางเพลง หรือนึกถึงคนบางคนเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่ง กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่มาเริ่มเอาตอนลูกโตพูดได้แล้วยิ่งต้องใจเย็น ค่อยๆทำไปต้องสำเร็จแน่นอนค่ะขอให้มุ่งมั่นทำเพื่ออนาคตของลูกนะคะ

4  ทำบ่อยๆทำซ้ำๆ กระตุ้นการตอบสนอง  
การทำซ้ำซากนี่ไม่ได้ทำให้เบื่อเสมอไปนะคะ ถ้าเราทำให้มันสนุก เด็กๆก็จะอยากทำอีกไม่แน่จะขอทำเองด้วยซ้ำไป แต่ขอให้เข้าใจนะคะว่าในบางกรณีสนุกเด็กกับสนุกผู้ใหญ่อาจต่างกัน อย่าเอาบรรทัดฐานของผู้ใหญ่มาวัดเด็กนะคะ เด็กอาจต้องการการท้าทายที่ต่ำกว่า ชอบแบบค่อยเป็นค่อยไป และข้อสำคัญ เด็กทุกคนบ้ายอ ต้องชมเข้าไว้ คุณพ่อคุณแม่ต้อง อัพเดท คำศัพท์ที่ใช้ในการชมไว้เยอะๆนะคะ ไม่ใช่อะไรๆก็ Good อย่างเดียว การได้ยินคำศัพท์ในบริบทของการชมเชย แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักคำคำนั้น แต่เขาจะค่อยๆเรียนรู้ไปเองว่าคำนี้เป็นคำชม และจะจำได้เองโดยไม่ต้องมานั่งท่อง
ถ้าคุณต้องการให้ลูกพูดได้คุณต้องคุยกับเขาบ่อยๆ แม้ว่าคุณจะใช้สื่อการสอนไม่ว่าจะเป็นหนังสือ คลิปเสียง หรือคลิปวิดีโอ การโต้ตอบจากคุณก็ยังสำคัญอยู่มากอย่างน้อยถามเขาสัก คำถามสองคำถามก็ยังดี ในสมัยก่อนที่พบบ่อยๆคือครอบครัวจีนในเมืองไทย แม่พูดจีนด้วยลูกๆตอบเป็นภาษาไทยพอนานๆไปก็กลายเป็นฟังออกแต่พูดไม่ได้ เพราะไม่ได้ฝึกพูด อันนี้สำคัญนะคะ บางคนอาจจะว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ฟังออกก็ต้องพูดได้สิ แต่จริงๆแล้วก็เปรียบได้กับการฟังดนตรีที่เราฟังได้ฟังบ่อยแต่เล่น หรือร้องออกมาเป็นเพลงไม่ได้ ถ้าอยากได้ทักษะใดก็ต้องฝึกทักษะนั้นค่ะ ฟังบ่อยๆช่วยการพูดก็จริงแต่ก็ต้องฝึกพูดด้วยจึงจะคล่อง ถูกต้องและสำเนียงดีนะคะ

5  ไม่ต้องแปลไทยแปลอังกฤษทุกคำทุกประโยค 
เคยเจอคุณแม่ท่านหนึ่งอยากให้ลูกเป็นเด็กสองภาษาคุณแม่ก็เลยพูดภาษาไทยกับลูกแล้วก็ตามด้วยประโยคเดิมในภาษาอังกฤษ ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษนั้นย่อมต่างกัน ไม่ว่าวิธีคิด การออกเสียง ไวยากร การจัดเรียงลำดับคำ รวมถึงสำนวนต่างๆ ขอให้พึงตระหนักว่า หากจะพูดภาษาใดก็ตามให้ได้ดี ก็จะต้องคิดเป็นภาษานั้น อย่าคิดเป็นไทยแล้วแปลเป็นอังกฤษ เพราะจะได้ภาษาที่เปิ่นเป๋อ แบบที่ฝรั่งว่ามันไม่เมคเซนส์หนะค่ะ เช่น ภาษาไทยว่า นั่งดีๆซิคะลูก แล้วก็แปลพ่วงท้ายว่า You sit good good na. นี่ขอเลยนะคะ โดยเฉพาะคำว่า นะ นี่ไม่มีนะคะในภาษาอังกฤษ


6  ต้องหมั่นให้กำลังใจตัวเอง
ห้ามท้อ ห้ามขี้เกียจเด็ดขาด เราต้องจินตนาการถึงวันที่ลูกเรา สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และได้ใช้ความสามรถนั้นเป็นบันไดก้าวไปสู่ความสำเร็จในขั้นต่อๆไป ท่องไว้ว่า เพื่ออนาคตของลูกเราต้องทำได้

เมื่อมาถึงจุดนี้ก็ได้เวลาเตรียมพร้อมร่างกายและจิตใจเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จกันนะคะ มีจุดหมายเป็นธงชัย สองดามองดาว ส่วนสองเท้าก็ก้าวเดินค่ะ และห้ามหยุดด้วย อย่าลืมกลับไปทำการบ้านเยอะๆนะคะ ขั้นต่อไปเราจะก้าวไปด้วยกันค่ะ บทต่อไป จะเป็นขั้นตอนการผลิตเด็กสองภาษาอย่างมีคุณภาพ อย่าลืมติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ